Saturday, January 7, 2023

การนวดแผนไทย

การนวดแผนไทย


การนวดแผนไทย ถือเป็นอีกหนึ่งการแพทย์แผนโบราณของไทยที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน บ้างก็ว่าบันทึกของศาสตร์การนวดแผนไทยมีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย

ในขณะที่นักประวัติศาสตร์หลายคนก็เห็นว่าการนวดแผนไทยอาจมีมาตั้งแต่ 2,500 ปีก่อนโดยชาวอินเดียคนหนึ่ง ที่นำมาเผยแพร่ไปทั่วเอเชียใต้จนกลายเป็นที่นิยมมากขึ้น

ด้วยความที่บันทึกต่างๆ มีจำนวนน้อย ทำให้ความเป็นมาของการนวดแผนไทยอาจมีหลายความเชื่อ แต่ศาสตร์การนวดแผนไทยก็ถูกส่งต่อกันแบบปากต่อปากมาจนถึงปัจจุบัน

ในบทความนี้จะพามารู้จักกับการนวดแผนไทย ทั้งประเภท ประโยชน์ และข้อควรระวังของการนวดแผนไทย


นวดแผนไทยคืออะไร?

การนวดแผนไทย (Thai Massage) หรือเรียกอีกอย่างว่าการนวดแผนโบราณ เป็นหนึ่งในรูปแบบการนวดบำบัด (Therapeutic Touch) โดยให้ผู้รับบริการนอนราบบนเสื่อหรือฝูกนอนที่พื้น แล้วให้ผู้นวด บีบ คลึง และกดตามลำตัว เพื่อกระตุ้นอวัยวะภายในและเพิ่มความยืนหยุ่นของกล้ามเนื้อ

ผู้ให้บริการนวดแผนไทยจะใช้มือ นิ้วหัวแม่มือ ศอก ท่อนแขน หรือแม้แต่ฝ่าเท้าประกอบในการนวดกล้ามเนื้อ รวมถึงมีการเคลื่อนไหวร่างกายมากกว่าการนวดประเภทอื่นๆ ที่ให้ผู้รับบริการนอนราบไปเฉยๆ

แม้จะมีชื่อว่าการนวดแผนไทย แต่ลักษณะความเชื่อนั้นคล้ายคลึงกับศาสตร์การแพทย์แผนจีน คือเชื่อว่าในร่างกายมีพลังงานไหลเวียนผ่านส่วนต่างๆ การนวดคลึงและยืดเหยียดร่างกายอาจช่วยให้พลังงาน และเลือดไหลเวียนดีขึ้นนั่นเอง


นวดแผนไทยมีกี่ประเภท?

การนวดแผนไทยสามารถแบ่งได้หลายประเภท ขึ้นอยู่กับว่าจะแบ่งด้วยวิธีไหน โดยหากแบ่งให้เข้าได้ง่าย คือการแบ่งตามสรรพคุณ ซึ่งแบ่งได้หลักๆ 3 ประเภท ดังนี้

  • นวดเพื่อสุขภาพ เป็นการนวดที่สามารถนวดได้ทุกคน รวมถึงผู้สูงอายุ ช่วยกระตุ้นระบบของร่างกายให้ผ่อนคลาย เพิ่มการไหลเวียนของเลือด ช่วยให้การนอนหลับดีขึ้น
  • นวดเพื่อการรักษา เป็นการเน้นบรรเทากลุ่มอาการปวดต่างๆ เช่น ปวดหลัง ปวดคอ ปวดกล้ามเนื้อ ไหล่ติด เข่าตึง
  • นวดเพื่อฟื้นฟูสมรรถภาพ เป็นการนวดฟื้นฟูร่างกายผู้ป่วย เช่น ผู้ป่วยอัมพฤกษ์ อัมพาต และโรคพาร์กินสัน

อย่างไรก็ตาม บางสถานที่อาจแบ่งตามกระบวนการนวดเป็น 2 ประเภทคือนวดเชลยศักดิ์ (นวดแบบจับเส้น) และนวดราชสำนัก (ใช้เฉพาะนิ้วมือนวดกดจุด)

นวดแผนไทยต่างจากการนวดประเภทอื่นอย่างไร?

การนวดมีด้วยกันหลายแบบ แม้ส่วนใหญ่จะมีจุดประสงค์เพื่อความผ่อนคลายเป็นหนึ่งในจุดประสงค์หลัก แต่การนวดแผนไทยอาจต่างจากการนวดประเภทอื่นเล็กน้อย ดังนี้

  • การนวดแผนไทยนอนราบกับพื้น แต่การนวดในหลายๆ ประเภทมักให้นอนบนเตียง หรือโต๊ะนวด
  • การนวดแผนไทยยังใส่เสื้อผ้าไว้ได้ โดยอาจใส่เสื้อผ้าหลวมให้ขยับตัวได้สะดวก ในขณะที่การนวดบางประเภทอาจต้องถอดเสื้อผ้าออกทั้งหมด หรือเกือบทั้งหมด
  • การนวดแผนไทยไม่มีการใช้น้ำมันนวด ต่างกับการนวดน้ำมัน (Oil Massage) ที่ใช้น้ำมันหอมระเหยเพื่อให้ความผ่อนคลาย เพราะน้ำมันนวดอาจส่งผลต่อการควบคุมแรงกดของผู้นวดแผนไทย
  • การนวดแผนไทยขยับร่างกายเยอะ เช่น อาจมีการปรับท่าทางคล้ายท่าโยคะ มีการดึง หรือกดเพื่อให้ยืดเหยียดกล้ามเนื้อ ต่างกับการนวดหลายๆ ประเภทที่มักจะนอนเฉยๆ เพียงอย่างเดียว
ท่านวดไทย

ประโยชน์ของการนวดแผนไทย

การนวดแผนไทยมีประโยชน์หลายข้อ ขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ของการนวด ดังนี้

  • ช่วยบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อ ทั้งคอ บ่า และส่วนอื่นๆ ทั่วร่างกาย
  • ช่วยลดอาการปวดตึงตามข้อ มีการศึกษาทดลองให้ผู้เข้าร่วมที่มีอาการข้อเข่าอักเสบ เข้ารับการนวดแผนไทยร่วมกับการออกกำลังกายด้วยไม้เท้าเป็นเวลา 8 สัปดาห์ พบว่าผู้เข้าร่วมรู้สึกปวดน้อยลง และเดินได้ดีขึ้น
  • บรรเทาอาการปวดหลัง การนวดแผนไทยมีส่วนช่วยบรรเทาอาการปวดหลังและรักษาร่วมกับวิธีอื่นๆ ได้ มีการศึกษากับคนที่มีอาการปวดหลัง 120 คน โดยครึ่งหนึ่งในจำนวนนี้เข้ารับการนวดแผนไทยสัปดาห์ละ 2 ครั้งนาน 4 สัปดาห์ พบว่าอาการปวดหลังลดลงอย่างมีนัยะสำคัญ บางการศึกษาพบว่าอาจช่วยลดอาการปวดหลังส่วนบนด้วย แต่อย่างไรก็ตาม หากมีอาการปวดหลังต่อเนื่องมานาน ควรไปพบแพทย์ก่อนนวดแผนไทย
  • มีส่วนช่วยลดอาการปวดหัว มีการศึกษาแสดงว่าผู้ที่เข้ารับการนวดแผนไทย 9 ครั้งใน 3 สัปดาห์ สามารถลดอาการปวดหัวจากความเครียดหรือไมเกรนลงได้
  • ช่วยขยายขอบเขตการเคลื่อนไหวร่างกาย การนวดแผนไทยประกอบไปด้วยการกด บีบ และการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ ช่วยให้ข้อต่อและกล้ามเนื้อสามารถเคลื่อนไหวได้มากขึ้น ไม่ยึดเกร็งง่ายเกินไป
  • มีส่วนช่วยลดความเครียด แม้การนวดแผนไทยจะใช้น้ำหนักมากกว่าการนวดประเภทอื่น แต่สำหรับหลายคนก็รู้สึกผ่อนคลายจากการนวดแผนไทย เคยมีนักวิจัยทำการสแกนสมองผู้ที่เข้ารับการนวดแผนไทย พบว่าช่วยลดความวิตกกังวลได้ ทั้งนี้การลดความเครียดอาจได้ผลดีขึ้นเมื่อพักผ่อนอย่างเพียงพอ
  • ช่วยให้กระปรี้กระเปร่า นวดแผนไทยมีการเคลื่อนไหวเกือบทั้งร่างกายเช่นเดียวกับโยคะ ทำให้ผู้ที่รับการนวดแผนไทยอาจรู้สึกกระปรี้กระเป่ามากขึ้นด้วย
  • มีส่วนช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น การนวดแผนไทยช่วยให้ระบบไหลเวียนของเลือดและน้ำเหลืองดีขึ้นผ่านการยืดเหยียด ทำให้เนื้อเยื่อในร่างกายได้รับออกซิเจนไปเลี้ยงมากขึ้น ซึ่งมีผลต่อการเจริญเติบโตของเซลล์
  • อาจมีส่วนช่วยผู้ป่วยโรคหลอดเลือดในสมอง การศึกษาในปี 2012 พบว่าผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่รับการนวดแผนไทยเป็นประจำ อาจช่วยให้สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้ดีขึ้น รวมถึงอาจลดอาการปวด ช่วยให้นอนหลับดีขึ้นด้วย แต่อย่างไรก็ตาม ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองควรปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลก่อนเสมอ

นอกจากนี้ ประโยชน์อื่นที่อาจได้รับจากการนวดแผนไทย เช่น ช่วยให้นอนหลับดีขึ้น ระบบย่อยอาหารดีขึ้น เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม หากคุณมีอาการปวดกล้ามเนื้อรุนแรง หรืออาการผิดปกติอื่นๆ ของร่างกาย ควรไปพบแพทย์ก่อนตัดสินใจรักษาด้วยการนวดแผนไทย เพราะโรคบางชนิดไม่อาจรุนแรงมากขึ้นหากรับการนวดแผนไทย

ประโยชน์ของการนวดแผนไทย

ใครไม่ควรนวดแผนไทย?

การนวดแผนไทยมีผลกระทบต่อระบบไหลเวียนเลือด และกล้ามเนื้อ จึงอาจไม่เหมาะกับผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิดหรือเงื่อนไขต่างๆ ดังนี้

  • ผู้ป่วยโรคหัวใจ หรือโรคหลอดเลือดหัวใจ
  • ผู้ป่วยโรคความดันสูง
  • ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับกระดูกสันหลัง เช่น โรคกระดูกพรุน
  • ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
  • ผู้ที่เพิ่งรับการผ่าตัดมาไม่นาน
  • ผู้ที่มีแผลเปิด
  • ผู้ป่วยโรคมะเร็ง
  • ผู้ที่กำลังอยู่ระหว่างตั้งครรภ์
  • ผู้ป่วยโรคเลือด
  • ผู้ที่มีภาวะลิ่มเลือด
  • ผู้ที่มีแผลไฟไหม้
  • ผู้ที่มีภาวะเกล็ดเลือดต่ำ (Thrombocytopenia)
  • ผู้ที่ปวดกล้ามเนื้อจากการมีไข้
  • ผู้ที่ปวดกล้ามเนื้อเฉียบพลัน บวม แดง

หากใครอยู่ในเงื่อนไขดังกล่าว ควรหลีกเลี่ยงการนวดแผนไทยจนกว่าจะรักษาให้หายดี หรือปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลเพื่อประเมินความเหมาะสมก่อนรับบริการ

การเตรียมตัวก่อนการนวดแผนไทย

ผู้ที่มานวดแผนไทยมักไม่ต้องเตรียมตัวเป็นพิเศษ ขั้นตอนการเตรียมตัวเล็กๆ น้อยๆ อาจมีดังนี้

  • มาก่อนเวลานัด 10-30 นาที ควรมาถึงเวลานัดเล็กน้อยเพื่อกรอกเอกสาร โดยเฉพาะเมื่อมาใช้บริการเป็นครั้งแรก
  • แจ้งข้อมูลสุขภาพ ก่อนเริ่มนวดแผนไทยควรแจ้งกับผู้ให้บริการถึงประวัติสุขภาพ เพราะโรคประจำตัวบางชนิดอาจไม่เหมาะกับการนวดแผนไทย หรือหากนวดได้ ผู้ให้บริการจะได้ระมัดระวังมากขึ้น
  • สวมเสื้อหลวมๆ หลีกเลี่ยงการสวมเสื้อผ้ารัดรูป เพราะทำให้เคลื่อนไหวระหว่างนวดไม่สะดวก หรือบางสถานที่อาจมีชุดให้เปลี่ยน

ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวควรปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลก่อนตัดสินใจนวดแผนไทย เพื่อลดโอกาสเกิดผลกระทบให้มากที่สุด

ขั้นตอนการนวดแผนไทย

ขั้นตอนการนวดแผนไทยอาจแตกต่างกันออกไปตามเทคนิคของผู้ให้บริการ และประเภทของการนวด โดยขั้นตอนหลักๆ อาจมีดังนี้

  1. ผู้ให้บริการอาจให้คุณเปลี่ยนเป็นชุดที่ทางสถานที่เตรียมไว้ให้ หรือบางกรณีอาจให้สวมชุดที่หลวมๆ เคลื่อนไหวสะดวกของคุณเอง
  2. เมื่อเปลี่ยนชุดแล้ว ผู้ให้บริการจะเตรียมเสื่อนอน หรือฝูกนอนไว้ให้ที่พื้น รวมถึงหมอนรองศีรษะด้วย
  3. ผู้ให้บริการจะค่อยๆ ยืดเหยียดส่วนต่างๆ ของร่างกายคุณโดยอาจใช้แรงกดช่วย
  4. ผู้ให้บริการจะใช้มือ นิ้วหัวแม่มือ ข้อศอก และหัวเข่า เพื่อกดคลึงส่วนต่างๆ ของร่างกาย
  5. ในบางกรณีผู้ให้บริการอาจมีการขยับร่างกายคล้ายกับท่าโยคะผ่านการดึงและกด
  6. ขั้นตอนเหล่านี้อาจทำให้บางคนรู้สึกเจ็บหรือปวดกล้ามเนื้อได้ โดยสามารถแจ้งกับผู้ให้บริการเพื่อลดการลงน้ำหนัก

สำหรับผู้ที่มีอาการบาดเจ็บ หรือส่วนไหนของร่างกายที่เจ็บง่ายเป็นพิเศษ ควรแจ้งกับผู้ให้บริการก่อนเริ่มการนวดทุกครั้ง

อันตรายที่อาจเกิดขึ้นจากการนวดแผนไทย

การนวดแผนไทยมีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นบางประการ เช่นเดียวกับการนวดหลายๆ ประเภท ดังนี้

  • อาจเกิดอันตรายกับผู้ป่วยโรคหัวใจ เนื่องจากการนวดแผนไทยทำให้อัตราการเต้นของหัวใจเปลี่ยนแปลง ผู้ที่มีโรคเกี่ยวกับระบบเลือดและหัวใจจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนทุกครั้ง
  • อาจเกิดอาการปวด หากผู้นวดมือหนัก หรือใช้น้ำหนักไม่เหมาะกับร่างกายของคุณ อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บกล้ามเนื้อหรือกระดูกได้

อย่างไรก็ตาม คนส่วนใหญ่ได้รับความผ่อนคลายและประโยชน์จากการนวดแผนไทยมากกว่าความเสี่ยงที่เกิดขึ้น แต่ก็ควรปรึกษาผู้นวดแผนไทยก่อนตัดสินใจใช้บริการ

นวดแผนไทยแล้วเจ็บเกิดจากอะไร?

หลายคนมาใช้บริการนวดแผนไทยโดยคาดหวังว่าจะช่วยบรรเทาอาการปวดหรืออาการอื่นๆ แต่หลังนวดเสร็จกลับมีอาการปวดหรือเจ็บกล้ามเนื้อจนเกิดความกังวล ต่อไปนี้เป็นสาเหตุที่เป็นไปได้ของอาการปวดหลังนวดแผนไทย

  • นวดแผนไทยขณะเป็นไข้ โดยปกติคนที่เป็นไข้จะมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวและปวดตามร่างกาย และอาจคิดว่าการนวดแผนไทยจะช่วยบรรเทาอาการได้ แต่ความจริงแล้วหากนวดแผนไทยขณะมีไข้อาจทำให้อาการปวดรุนแรกว่าเดิมได้
  • นวดขณะปวดกล้ามเนื้อ ผู้ที่นวดแผนไทยเพื่อการรักษา เช่น ลดอาการปวดกล้ามเนื้อ มีแนวโน้มจะระบมกล้ามเนื้อหลังรับการนวดได้ง่ายกว่าคนอื่น
  • นวดแผนไทยหลังเกิดการอักเสบ หากเกิดอาการกล้ามเนื้ออักเสบ เส้นเอ็นอักเสบเฉียบพลัน จนมีอาการปวด บวม แดง ไม่ควรรับการนวดแผนไทยทันที เพราะอาจทำให้ปวดมากขึ้นหลังนวดแผนไทย
  • นวดหรือกดแรงไป บางกรณีผู้นวดอาจลงน้ำหนักมากเกินไปจนทำให้เจ็บ คุณควรแจ้งกับผู้ให้บริการทันทีเพื่อลดน้ำหนักมือลง
  • มานวดแผนไทยครั้งแรก ผู้ที่มานวดแผนไทยครั้งแรก หรือแม้แต่ไม่ได้นวดแผนไทยมานานมากแล้วอาจยังไม่ชินกับการลงน้ำหนักของผู้ให้บริการ ทำให้เกิดการระบมหลังรับบริการได้

ต้องนวดแผนไทยบ่อยไหม?

จำนวนครั้งและความถี่ของการนวดแผนไทยนั้นอาจแตกต่างกันออกไปตามความเหมาะสมของแต่ละคน แต่โดยทั่วไปหากต้องการนวดเพื่อสุขภาพก็สามารถนวดแผนไทยได้สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง หรือในกรณีที่นวดเพื่อรักษาอาการปวด อาจนวดวันเว้นวัน และค่อยๆ เว้นระยะห่างขึ้นเรื่อยๆ เมื่ออาการปวดดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะนวดแผนไทยเพื่อจุดประสงค์ใด ก็ไม่ควรนวดติดต่อกันทุกวัน ควรเว้นวันให้กล้ามเนื้อได้พักบ้าง อาจปรึกษาแพทย์หรือผู้ให้บริการนวดแผนไทยเพื่อวางแผนการนวดที่เหมาะสมกับตัวเอง

โดยสรุปแล้ว การนวดแผนไทยถือเป็นศาสตร์โบราณอย่างหนึ่งที่มีประโยชน์หลากหลาย เช่น ลดอาการปวดเมื่อย ปวดหัว เพิ่มความยืดหยุ่นของร่างกาย ช่วยให้ผ่อนคลาย ลดความเครียด วิตกกังวล ซึ่งปัจจุบันได้รับการยอมรับจากวิทยาศาสตร์สมัยใหม่

แต่ทั้งนี้ ก็อาจไม่ได้เหมาะกับทุกคนเสมอไป โดยเฉพาะผู้ที่มีปัญหาสุขภาพและอาจได้รับผลกระทบจากการนวดแผนไทย ควรปรึกษาแพทย์ผู้ดูแลก่อนนัดหมายนวดเสมอ

หากต้องการเช็กราคานวดแผนไทย หรือทำนัดนวดแผนไทยตามสถานที่ต่างๆ สามารถเช็กคิวและทำนัดได้ผ่าน HDmall.co.th พร้อมรับส่วนลดมากมาย






ที่มาของข้อมูล

ปิด

  • Webmd, Benefits of Thai Massage, (https://www.webmd.com/balance/benefits-of-thai-massage), 6 July 2021.
  • Rebecca Joy Stanborough, MFA, 6 Science-Supported Benefits of Thai Massage, (https://www.healthline.com/health/thai-massage-benefits), 14 July 2020.
  • MedicalNewsToday, What are the health benefits of Thai massage?, (https://www.medicalnewstoday.com/articles/323687), 14 November 2018.
  • รศ.นพ.ประดิษฐ์ ประทีปะวณิช, นวดเพื่อสุขภาพ, (https://si.mahidol.ac.th/th/healthdetail.asp?aid=344), 11 ตุลาคม 2553.
  • คณะแพทย์ศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล หน่วยแพทย์ทางเลือก, (https://www.rama.mahidol.ac.th/altern_med/th/node/48).
  • Honestdocs, นวดแผนไทย คลายปวดเมื่อยด้วยศาสตร์โบราณ, (https://hd.co.th/thai-massage), 30 กันยายน 2019.
  • พท.ป.พิมพ์วิภา แพรกหา, อาการไม่พึงประสงค์ที่พบบ่อยหลังการนวด, (https://www.ttmed.psu.ac.th/th/blog/203), 27 เมษายน 2563.






ประเภทของการนวด ยอดนิยม

 

ประเภทของการนวด ยอดนิยม


ประเภทของการนวด
กับอโรมาเทอราปี

การนวดเป็นรูปแบบของการบำบัดรักษาโรคที่เก่าแก่  ซึ่งจะช่วยผ่อนคลาย  และทำให้ร่างกายปราศจากความเครียด  รู้สึกปลอดโปร่งขึ้นการนวดจะทำให้กล้ามเนื้อกระชับและเป็นการกระตุ้นเส้นประสาท  การไหลเวียนของเลือดและเป็นการขจัดสารพิษในระบบต่อมน้ำเหลือง  การนวดไม่เพียงแต่ให้ความผ่อนคลายเท่านั้น  แต่ยังเพิ่มความใกล้ชิดระหว่างกันและกันอีกด้วย

ปัจจุบันการนวดยังนำศาสตร์อื่นๆ  เข้ามาช่วยในการนวดมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น  เช่น นวดด้วยครีม  เพื่อคลายกล้ามเนื้อหรือเพื่อบำบัดโรค  นวดด้วยครีมหรือโลชั่นบำรุงผิว  เพื่อความงาม  และนวดด้วยนำน้ำมันหอมระเหยเพื่อให้ผ่อนคลายสบายใจขึ้น สำหรับการนวดที่นำมาใช้ควบคู่กับน้ำมันหอมระเะหยนั้นมีด้วยกันหลายตำรับ  ซึ่งมีที่มาแตกต่างกันไปดังนี้

Thai massage หรือ การนวดแผนไทยโบราณThai massage หรือ การนวดแผนไทยโบราณThai massage หรือ การนวดแผนไทยโบราณ

1. Thai massage หรือ การนวดแผนไทยโบราณ 
ซึ่งการนวดเป็นศาสตร์และศิลป์สาขาหนึ่งของการแพทย์แผนโบราณไทย  การนวดไทนจะเป็นการนวดที่มีลักษณะเฉพาะของตัวเอง  เพราะผู้ที่ทำการนวดจะต้องมีความรู้ภาคทฤษฎี และภาคปฏิบัติที่แตกต่างจาการนวดอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นการนวดโดยการกด การคลึง การดัดดึง การประคบ  โดยการใช้ฝ่ามือและนิ้วกดตามจุดที่สำคัญต่างๆ บริเวณกล้ามเนื้อ ข้อต่ด และเส้นเอ็นทั้งร่างกาย  อีกทั้งยังรวมไปถึงเทคนิคการนวดให้กับผู้สูงอายุในการยืดเส้นและการงอตัว เพื่อลดความอ่อนล้าและผ่อนคลายกล้ามเนื้อ  ในขณะเดียวกันยังช่วยให้ระบบหมุนเวียนโลหิตดีขึ้นอีกด้วย  การนวดไทยได้รับการสืบทอดมามากกว่าหนึ่งพันปี  ซึ่งการนวดอย่างถูกวิธีเป้นประจำ  จะเพิ่มการไหลเวียนของโลหิตทั้งร่างกาย ยืดเส้นเอ้นที่ตึงให้หย่อนลง  ทำให้กล้ามเนื้อที่ตึงเครียดจากชีวิตประจำวันผ่อนคลาย  และรักษาความยืดหยุ่นของข้อต่อไม่ให้ติอขัด  ทั้งยังช่วยให้การทำงานของเนื้อเยื่อต่างๆดีขึ้น การนวดจึงมีผลในการสร้างเสริมสุขภาพ และทำให้มีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น

  • การนวดแบบราชสำนัก
    หมายถึงการนวดเพื่อถวายกษัตริย์ แจ้านายชั้นสูง เป็นการนวดที่ต้องอาศัยความปราณีตและสุภาพ ใช้อวัยวะน้อยและตรงจุดจริงๆ
  • การนวดแบบเชลยศักดิ์
    หมายถึงการนวดแบบพื้นบ้านทั่วไป  มีการสืบทอดกันมาตามวัฒรธรรมของแต่ละท้องถิ่น

Swedish Massage หรือการนวดแบบสวีดีช

2. Swedish Massage หรือการนวดแบบสวีดีช
การนวดวิธีนี้เป็นเทคนิคเฉพาะของกสรนวดแบบยุโรป โดยนวดบริเวณกล้ามเนื้อและส่วนของเนื้อเยื่อรวมกับการใช้น้ำมันหอมระเหย ซึ่งจะช่วยให้ระบบหมุนเวียนของโลหิตในร่างกายดีขึ้น ลดความตึงเครียด เพิ่มความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและผิวหนัง ทำให้ร่างกายพักผ่อนได้เต็มที่

3. Jet-Lag Massage 
หรือการนวดผ่อนคลายสำหรับนักเดินทาง

เป็นการนวดที่เหมาะสำหรับผู้ที่เหนื่อยล้าจากการเดินทางเพื่อผ่อนคลายความตึงเครียดและรู้สึกสบายทั้งใบหน้า ร่างกาย รวมถึงมือ เท้า คอ และไหล่ อาการเหนื่อยล้าจากการเดินทางเกิดขึ้นได้เสมอ และเมื่อมีการเดินทางร่างกายจะต้องปรับตัวให้เข้ากับเวลาที่แตกต่างกัน ซึ่งจะมีผลต่อการนอนหลับไม่เต็มอิ่ม การพักผ่อนที่ไม่เพียงพอ เบื่ออาหาร หรือการปรับตัวในการรับประทานอาหาร โดยการนวดนี้จะช่วยให้ร่างกายมีการปรับตัวเข้ากับเวลาที่ปรับเปลี่ยนไปได้อย่างเหมาะสม

4. Men's Rubdown  หรือการนวดผ่อนคลายกล้ามเนื้อ
การนวดประเภทนี้ได้ถูกพัฒนาขึ้นเป็นพิเศษ สำหรับผู้ที่มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง  และออกกำลังกายอยู่อย่างสม่ำเสมอ  การนวดประเภทนี้จะช่วยบรรเทาอาการปวดหลัง  ปวดศรีษะ  และปวดกล้ามเนื้อ  โดยเฉพาะผู้ที่ได้รับบาดเจ็บเล้กน้อยจากการออกกำลังกาย  อาการเครียดที่เกิดขึ้นอยู่เป้นประจำ  และผู้ที่มีปัญหาทางสภาพร่างกายเฉื่อยชา ขาดความกระตือรือร้น  การนวดนี้จะช่วยให้ระบบของโลหิตรวมถึงระบบน้ำเหลืองดีขึ้น


 

5. Phyto-Aroma Massage  
หรือการนวดโดยใช้กลิ่นหอมบำบัด

การนวดด้วยวิธีนี้จะเป็นการใช้กลิ่นของน้ำมันระเหยสมุนไพรในการบำบัด  เพร้อมกับการนวดแบบสัมผัสเพียงแผ่วเบา เพื่อให้รู้สึกถึงความผ่อนคลาย  ปลอดโปร่งโล่งสบาย  ซึ่งจะมีกลิ่นของน้ำมันหอมระเหยให้เลือกใช้ตามอาการ  คือ

  • Brich Arnica Body Massage Oil  ที่ชาวยลดอาการเจ็บปวดของกล้ามเนื้อและกระดูก
  • Lavender Body massaage Oil  ช่วยผ่อนคลายและทำให้สดชื่น
  • Relaxation Body Massage Oil  ช่วยผาอนคลายความตึงเครียด ทำให้รู้สึกถึงการพักผ่อนอย่างเต็มที่
  • Asian Blend Body Massage Oil  ช่วยกระตุ้นความรู้สึกสดชื่นกระปรี้กระเปร่า  ช่วยให้จิตใจสงบ ลดความตึงเครียด มีกลิ่นหอมชื่น
  • Jet-leg Body Massage oil  ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด  ปรับความสมดุลของร่างกาย และช่วยให้จิตใจสงบ  เหมาะสำหรับเวลาเดินทาง
  • Sandalwood Body Massage Oil  ช่วยผ่อนคลายความเครียด  นอนไม่หลับ ไอ ช่วยระบบการหายใจ เหมาะสำหรับนวดหน้าผู้ชายโดยเฉพาะ  เหมาะสำหรับผิวแห้งจากวัยชรา  และผิวที่สูญเสียน้ำ

6. Craniosacral Massage หรือ การนวดกะโหลกศีรษะ
การนวดด้วยวิธีนี้จะช่วยลดความตึงเครียดในสภาวะปัจจุบันที่เพิ่มขึ้นทุกวัน  ซึ่งจะส่งผลต่อการทำงานในร่างกายอย่างมาก  โดยเฉพาะอย่างยิ่งระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย อีกทั้งยังทำลายสุขภาพอีกด้วย  การนวดกะโหลกศีรษะจะช่วยให้เกิดความสมดุลของระบบประสาท  และระบบการทำงานของกะโหลกศีรษะไปจนถึงบริเวณก้นกบ  ซึ่งเต็มไปด้วยของเหลวและเนื้อเยื่อบริเวณล้อมรอบ  เพื่อช่วยป้องกันกระดูกวันหลัง  โดยเฉพาะกระดูกของกะโหลกศีรษะ  กระดูกส่วนใบหน้าและปาก  กระดูกเหล่านี้จะประกอบกันเพื่อเป็นรูปร่างของกะโหลกศีรษะ  ลงไปสู่กระดูกส่วนหลังหรือก้นกบ  ระบบสรีระเริ่มต้นด้วยการทำงานในมดลูก  และต่อเนื่องตามลำดับ  จนกระทั่งถึงวันสิ้นสุดแห่งชีวิต ด้วยการเพิ่มความสมดุลให้กับระบบประสาท  โดยจะรู้สึกสบายผ่อนคลาย  ในระหว่างที่ทำการนวดจะมีการไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น  ช่วยบรรเทาอาการปวดตึงของกล้ามเนื้อ  ช่วยกระตุ้นระบบประสาท  และช่วยผ่อนคลาย  กระชับกล้ามเนื้อ  เพื่อให้กล้ามเนื้อมีความยืดหยุ่นมากขึ้น   นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการอื่นๆ เช่น  อาการหน้ามืด   การปวดคอ และหลังเรื้อรัง  ข้ออักเสบ  อาการนอนไม่หลับ  โรคหืด  อาการเฉื่อยชา  อาการปวดประจำเดือน ไมเกรน  ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เป็นต้น

7. Ayurvedic Massage  หรือการนวดแบบอินเดียโบราณ
ซึ่งคำว่า Ayurveda เป็นภาษาสันสกฤต  ซึ่งหมายถึงศาสตร์แห่งชีวิต  เป็นการมองชีวิตแบบรอบด้าน ทั้งในส่วนของร่างกาย  จิตใจและจิตวิญญาณ  โดยเป็นการรักษาผู้ป่วยแบบองค์รวม  ไม่ใช่มุ่งแต่รักษาโรคเพียงอย่างเดียว  วิธีการที่ใช้ยังรวมถึงการใช้สมุนไพร อาหาร และกิจกรรมต่างๆ เช่นการนวด  การทำสมาธิและโยคะ  การนวดประเภทนี้นับว่าเป้นเทคนิคการนวด  ซึ่งจะช่วยให้ร่างกายปราศจากสารพิษตกค้าง  ช่วยให้จิตใจปลอดโปร่ง  ผ่อนคลายความเครียดและความกังวล  ด้วยส่วนผสมจากสมุนไพรโบราณและน้ำมันหอมระเหยเพื่อการกำจัดสารพิษในร่างกายได้ดีขึ้น  และบรรเทาอาการเจ็บของกล้ามเนื้ออีกด้วย....



CR   ::   www.YesSpaThailand.com


การนวดยอดนิยม 10 ประเภท และประโยชน์เพื่อสุขภาพ

 

การนวดยอดนิยม 10 ประเภท และประโยชน์เพื่อสุขภาพ



การนวดนอกจากจะช่วยให้ร่างกายผ่อนคลายแล้ว ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพหลายประการ สำหรับผู้ที่ไม่เคยรับบริการนวดมาก่อน การเข้ารับบริการที่สปาหรือร้านนวดอาจเป็นเรื่องยากพอสมควร และอาจจะต้องใช้เวลาในการตัดสินใจ ดังนั้น ก่อนรับบริการนวดใดๆ เราควรศึกษาหาข้อมูลเกี่ยวกับการนวดประเภทต่างๆ เพื่อให้ได้รับการบริการที่ตรงกับความต้องการมากที่สุด มาทำความรู้จักกับการนวดทั้ง 10 รูปแบบกันเถอะ


การนวดมีกี่ประเภท แต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไรบ้าง?

การนวด เป็นศาสตร์การดูแลร่างกายที่ได้รับความนิยมไปทั่วทุกมุมโลก ทั้งฝั่งเอเชียและประเทศตะวันตก การนวดแต่ละชนิดจะมีเทคนิคอันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เพื่อสร้างความผ่อนคลายในรูปแบบที่แตกต่างกัน ในปัจจุบันได้มีการพัฒนาการนวดรูปแบบใหม่ๆ เพื่อให้สามารถมอบความผ่อนคลายหรือช่วยลดอาการปวดเมื่อยร่างกายต่างๆ ของแต่ละบุคคลได้มากขึ้น


เราได้รวบรวมบริการนวดยอดนิยมทั้ง 10 ประเภท เพื่อให้คุณเลือกรับบริการได้ตามความต้องการ ดังนี้:


1. นวดแผนไทย (Thai Massage)

นวดแผนไทย

การนวดแผนไทย ได้ชื่อว่าเป็นการนวดที่ “แอคทีฟ” มากที่สุด เพราะต้องอาศัยความร่วมมือระหว่างเทอราปิสและผู้รับบริการตลอดการนวด เทอราปิสจะใช้ท่ายืดกล้ามเนื้อคล้ายโยคะ ที่จะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและสร้างความผ่อนคลายให้กับกล้ามเนื้อที่เมื่อยล้า อีกทั้งยังช่วยบรรเทาความเครียด ขจัดอารมณ์ด้านลม และปรับอารมณ์ให้สดชื่นขึ้น


เทอราปิสจะใช้ฝ่ามือ สันมือ นิ้วมือ ข้อศอก ในการกดและนวดกล้ามเนื้อที่เกร็งตึงให้ผ่อนคลายลง และอาจใช้เท้าเพื่อช่วยยืดร่างกาย การนวดแผนไทยจะช่วยกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิตให้ทำงานได้ดีขึ้น คุณจึงรู้สึกสดชื่นทันทีหลังจากรับบริการนวด และเนื่องจากการนวดแผนไทยจะไม่มีการใช้น้ำมันหรือโลชันประกอบการนวด คุณจึงสามารถสวมเสื้อผ้าที่ไม่คับและไม่หลวมจนเกินไป หรือสวมเสื้อผ้าที่ทางสปาจัดเตรียมให้ ก่อนเข้ารับบริการ


2. นวดสวีดิช (Swedish Massage)

นวดสวีดิช

การนวดสวีดิช เป็นศาสตร์การนวดของฝั่งตะวันตก ที่มีการใช้เทคนิคการนวดอย่างเป็นจังหวะ เพื่อสร้างความผ่อนคลายให้กับกล้ามเนื้อและเนื้อเยื่อทั่วร่างกาย การนวดชนิดนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความผ่อนคลายในระดับที่อ่อนโยนกว่าการนวดแผนไทย


การนวดสวีดิชจะช่วยคลายปมกล้ามเนื้อและช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อจากอาการบาดเจ็บ พร้อมทั้งกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิต ลดอาการปวดศีรษะ ทำให้จิตใจสงบ และเนื่องจากจะมีการใช้น้ำมันหรือโลชัน ประกอบการนวด คุณจึงจำเป็นจะต้องถอดเสื้อผ้า เพื่อป้องกันไม่ให้เสื้อผ้าเปื้อนคราบน้ำมัน นอกจากนี้ เทอราปิสอาจใช้ผ้าปกปิดตามส่วนต่างๆ ของร่างกาย เพื่อให้คุณมั่นใจในความเป็นส่วนตัว


3. นวดน้ำมันอโรมา (Aromatherapy Massage)

นวดน้ำมันอโรมา

การนวดน้ำมันอโรมา เป็นการนวดร่างกายโดยใช้น้ำมันหอมระเหยจากธรรมชาติที่มีกลิ่นหอม เพื่อสร้างบรรยากาศแห่งการผ่อนคลายให้กับร่างกายและจิตใจ เมื่อน้ำมันหอมระเหยซึมเข้าสู่ผิวหนังจะทำให้เลือดลมไหลเวียนได้ดีขึ้น ช่วยคลายความวิตกกังวล และช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้ผิวเรียบเนียนยิ่งขึ้น 


น้ำมันหอมระเหยจากธรรมชาติที่ใช้ประกอบการนวดจะมีหลายชนิด เช่น น้ำมันเปปเปอร์มิ้นท์ น้ำมันมะพร้าว น้ำมันลาเวนเดอร์ และอื่นๆ โดยสารสกัดเหล่านี้จะมีคุณสมบัติและมีกลิ่นที่แตกต่างกัน คุณสามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมจากเทอราปิสก่อนการรับบริการ นอกจากนี้ คุณควรถอดเสื้อผ้าและควรอาบน้ำหลังจากการรับบริการ เพื่อป้องกันไม่ให้คราบน้ำมันทำเสื้อผ้าเสียหาย


4. นวดสปอร์ต (Sports Massage)

นวดสปอร์ต

สำหรับนักกีฬามืออาชีพที่ทำการฝึกซ้อมอย่างหนักและผู้ที่รักการออกกำลังกายเป็นชีวิตจิตใจ บริการนวดสปอร์ตเป็นวิธีที่จะช่วยเพิ่มศักยภาพในการฝึกซ้อม ช่วยฟื้นฟูร่างกายจากอาการบาดเจ็บ และช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับร่างกายได้เป็นอย่างดี


การนวดสปอร์ตสามารถทำได้หลายรูปแบบ โดยจะไม่ได้เน้นการสร้างความผ่อนคลาย แต่จะเป็นการรักษาความแข็งแรงและเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับกล้ามเนื้อ หากคุณต้องการดูแลร่างกายอย่างเต็มรูปแบบ คุณสามารถเลือกบริการนวดจับเส้น ที่เน้นการนวดตามเส้นพลังงาน หรือ เส้นประธานสิบ โดยการนวดชนิดนี้จะช่วยเพิ่มสมาธิให้กับนักกีฬา และช่วยฟื้นฟูกล้ามเนื้อ ทำให้รู้สึกสดชื่น กระเปรี้กระเปร่ามากขึ้น


5. นวดจับเส้น/รีดเส้น (Nerve Touch Massage)

นวดจับเส้น

การนวดจับเส้นหรือนวดรีดเส้นเหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการเจ็บปวดกล้ามเนื้อเรื้อรัง หรือเจ็บปวดเฉพาะจุด ตามส่วนของร่างกาย โดยเทอราปิสจะเน้นการกดนวดกล้ามเนื้อเพื่อกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ทำให้เลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อบริเวณที่มีอาการปวดได้ดียิ่งขึ้น ทำให้อาการปวดบรรเทาลง พร้อมทั้งสร้างความยืดหยุ่นให้กับกล้ามเนื้อและช่วยรักษาปมกล้ามเนื้อในระยะยาว


เทอราปิสอาจใช้บาล์มหรือน้ำมันประกอบการนวด เพื่อให้นวดคลึงกล้ามเนื้อได้ดีขึ้น



 




6. นวดคุณแม่ตั้งครรภ์ (Prenatal Massage)

คุณแม่ตั้งครรภ์สามารถปรับแต่งบริการนวดได้ตามความต้องการโดยจะต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์ และเลือกรับบริการจากผู้ให้บริการที่น่าเชื่อถือ อย่างไรก็ตามเพื่อความปลอดภัยของแม่และเด็กในครรภ์ ในช่วงอายุครรภ์ 1-12 สัปดาห์ ห้ามรับบริการนวดโดยเด็ดขาด เพราะอาจเสี่ยงต่อการแท้งได้


ในระหว่างการนวด คุณแม่อาจจะต้องถอดเสื้อผ้าบางส่วน ขึ้นอยู่กับบริเวณที่ต้องการนวด การนวดคุณแม่จะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวด ช่วยลดความเครียด และปรับสมดุลของร่างกายและจิตใจ เพื่อสุขภาพที่ดีของคุณแม่และลูกน้อยในครรภ์


7. นวดประคบด้วยหินร้อน (Hot Stone Massage)

นวดประคบหินร้อน

การนวดประคบด้วยหินร้อนจะใช้เทคนิคที่คล้ายกับการนวดสวีดิช แต่จะมีการใช้หินร้อนประกอบการนวดเพื่อให้คุณผ่อนคลายได้ดียิ่งขึ้น ความร้อนจากหินจะช่วยคลายกล้ามเนื้อที่ตึงตัวจากความเครียด และกระตุ้นการทำงานของระบบต่างๆ ในร่างกาย รวมถึงระบบไหลเวียนโลหิตและระบบน้ำเหลือง นอกจากนี้ยังช่วยคลายความเครียด ทำให้รู้สึกเบาสบายตัว และช่วยขจัดอารมณ์ด้านลบได้


ในระหว่างการนวด คุณจะต้องถอดเสื้อผ้าและสวมเพียงชุดชั้นใน เพราะเทอราปิสอาจใช้หินร้อนวางตามแนวกระดูกสันหลัง ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และท้อง และอาจใช้หินเย็นร่วมด้วย


8. นวดแก้ออฟฟิศซินโดรม (Office Syndrome Massage)

นวดออฟฟิศซินโดรม

การนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน อาจทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการเกร็งสะสมต่อเนื่อง จนเกิดอาการปวดเรื้อรังที่รักษายาก การนวดแก้ออฟฟิศซินโดรมจะช่วยคลายความเมื่อยล้าและช่วยยืดกล้ามเนื้อบริเวณหลัง ไหล่ และคอ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 


RLAX ให้บริการนวดแก้ออฟฟิศซินโดรมโดยเทอราปิสมากประสบการณ์ที่ผ่านการฝึกอบรมจากโปรแกรมนวดแก้ออฟฟิศซินโดรม เทอราปิสของเราพร้อมให้บริการนวดถึงที่บ้าน ที่ทำงาน และที่คอนโด เพื่อให้คุณผ่อนคลายร่างกายจากการทำงานหนักได้ทุกเวลา


9. นวดกดจุดชิอัตสึ (Shiatsu Massage)

นวดกดจุดชิอัตสึ

การนวดชิอัตสึ เป็นการนวดกดจุดตามเส้นพลังงานแบบญี่ปุ่น มีจุดประสงค์เพื่อคืนความสมดุลให้กับร่างกายและจิตใจด้วยการกระตุ้นการไหลเวียนของพลังชีวิต ซึ่งสามารถสร้างความผ่อนคลาย ช่วยบรรเทาความเครียดสะสม พร้อมทั้งทำให้อาการปวดศีรษะและอาการปวดไมเกรนดีขึ้น


ถึงแม้ว่าการนวดชิอัตสึจะมีประโยชน์ต่อร่างกายโดยรวม แต่อย่างไรก็ตามเทอราปิสที่มีประสบการณ์จะสามารถให้บริการนวดที่เน้นการดูแลร่างกายเฉพาะจุดได้ ในระหว่างการนวด คุณไม่จำเป็นต้องถอดเสื้อผ้า เพราะจะไม่มีการใช้น้ำมันประกอบการนวด


10. นวดศีรษะ หลัง ไหล่ / นวดคอ บ่า ไหล่

นวดคอ บ่า ไหล่

การนวดศีรษะ หลัง ไหล่ จะช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อตั้งแต่ศีรษะ ขมับ บ่า หลังที่ทำให้เจ็บปวดและไม่สบายตัว ยืดเส้นเอ็น และกระตุ้นระบบไหลเวียนโลหิตให้ทำงานได้ดีขึ้น เหมาะสำหรับผู้ที่มีอาการปวดเมื่อยเรื้อรังหรือผู้ที่ต้องการผ่อนคลายลำตัวช่วงบน


บริการนวดศีรษะ หลัง ไหล่ มีประโยชน์ดังนี้:


คลายกล้ามเนื้อที่เกร็งตึงจากการทำงาน หรือการจ้องหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ

ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิต ทำให้เลือดไปเลี้ยงบริเวณศีรษะได้ดีขึ้น ทำให้รู้สึกเบาสบายร่างกาย

ช่วยทำให้นอนหลับง่ายขึ้น

ปรับอารมณ์ให้สดชื่น



 






ความเป็นมาของศาสตร์การนวดแผนไทย

 ความเป็นมาของศาสตร์การนวดแผนไทย


การนวดแผนโบราณ หรือการนวดแผนไทย ได้รับความนิยมอย่างมากในกลุ่มนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ไม่ว่าจะเป็นคนเอเชีย คนยุโรป ฝรั่งชาวตะวันตก ถือเป็นศาสตร์การบำบัดที่มีมายาวนาน ที่ช่วยลดอาการปวดเมื่อยตามร่างกาย ทำให้ผ่อนคลาย รู้สึกสบาย เพราะกล้ามเนื้อ และเส้นประสาทได้รับการนวด คลายความเมื่อยล้านั่นเอง

การนวดแผนไทย เป็นศาสตร์และศิลป์อีกแขนงหนึ่งที่สำคัญ ของหลักวิชาการแพทย์แผนไทยในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ และเป็นภูมิปัญญาไทยที่ได้ผ่านการบูรณาการ ร่วมกับองค์ความรู้ของศาสตร์การแพทย์ในระบบการแพทย์อื่นๆ จนพัฒนาเป็นการนวดไทยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ทั้งในประเทศและในระดับนานาชาติ





ศาสตร์การนวดแผนไทย ได้รับการพัฒนามาจาก ท่าทางการบริหารตามหลักโยคีของเหล่าฤาษี ชีไพร ผู้ได้บำเพ็ญพรต เจริญภาวนามานานวันละหลายชั่วโมง หรือที่เรียกว่า “ฤาษีดัดตน” เป็นการบริหารร่างกาย หรือกายกรรม เพื่อให้สุขภาพสมบูรณ์ทั้งร่างกายและจิตใจ อีกทั้งมีผลพลอยได้คือ เพื่อบำบัดโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ เช่น แก้โรคลมทั้งสรรพางค์กาย แก้เมื่อย แก้ปวด เป็นต้น

ในสมัยรัชกาลที่ ๓ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม มีการจัดตั้ง “โรงเรียนแพทย์แผนโบราณวัดโพธิ์” ซึ่งถือว่าเป็นโรงเรียนแพทย์แผนไทยแห่งแรก เพื่อเป็นการช่วยเก็บรักษาตำรายาแพทย์แผนไทยที่กำลังจะสูญหายไปอันเนื่องมาจากแพทย์บางกลุ่มที่มีความรู้ก็หวงแหนวิชา กลายเป็นความลับที่ตายไปกับกลุ่มคนเหล่านั้น พระองค์จึงได้ทรงประกาศให้เหล่าผู้มีความรู้เกี่ยวกับตำรับยาแผนไทยที่มีความเชื่อถือ และถูกต้องแม่นยำ นำความรู้เหล่านั้นมาจารึกเอาไว้บนหินประดับต่างๆ ตามผนังโบสถ์ เสา กำแพงวิหาร เจดีย์ ศาลาราย กำแพงวิหารคดรอบพระเจดีย์สี่องค์ รวมไปถึงศาลาต่างๆ ของวัดโพธิ์ที่ได้ทำการปฏิสังขรณ์เกี่ยวกับสมมติฐานของโรค และวิธีบำบัดรักษาอาการนั้นๆ ซึ่งรวมถึงการนวดแผนไทยด้วย




บริเวณกำแพงจารึก และหุ่นรูปปั้น ระบุว่าท่าฤษีดัดตนมี ๘๐ ท่า แต่ในปัจจุบันนี้คงเหลือเพียง ๒๔ ท่า ๒๕ ตน ท่าฤษีดัดตนเป็นการบริหารร่างกายของคนไทยที่มีมาแต่โบราณ ซึ่งเน้นการฝึกลมหายใจและใช้สมาธิร่วมด้วย จึงเป็นทั้งการบริหารร่างกายและบริหารจิต รวมทั้งช่วยในการบำบัดอาการเจ็บป่วยเบื้องต้นได้ในระดับหนึ่ง และยังทำให้ร่างกายตื่นตัว แข็งแรง และเป็นการพักผ่อน ท่าต่างๆ ที่ใช้ยังมีสรรพคุณในการรักษาโรคเบื้องต้นได้อีกด้วย นับว่ามีประโยชน์เป็นอันมาก ได้แก่
๑. ช่วยให้เกิดการเคลื่อนไหวตามธรรมชาติของแขนขา หรือข้อต่างๆ เป็นไปอย่างคล่องแคล่ว มีการเน้นการนวด โดยบางท่าจะมีการกดหรือบีบนวดร่วมไปด้วย
๒. ทำให้โลหิตหมุนเวียน เลือดลมเดินได้สะดวก นับเป็นการออกกำลังกาย สามารถทำได้ในทุกอิริยาบถของคนไทย
๓. เป็นการต่อต้านโรคภัย บำรุงรักษาสุขภาพให้มีอายุยืนยาว
๔. มีการใช้สมาธิร่วมด้วยจะช่วยยกระดับจิตใจให้พ้นอารมณ์ขุ่นมัว หงุดหงิด ความง่วง ความท้อแท้ ความเครียด และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของการหายใจหากมีการฝึกการหายใจอย่างถูกต้อง

การนวดไทย มีลีลาวิธีการนวด ๒ แบบ ได้แก่
๑. การนวดแบบราชสำนัก แต่เดิมเป็นการนวด เพื่อถวายการรับใช้พระมหากษัตริย์ และเจ้านายชั้นสูงในราชสำนัก การถ่ายทอดวิธีการนวดแบบนี้ ต้องพิจารณาคุณสมบัติของผู้เรียนอย่างละเอียดถี่ถ้วน มีขั้นตอนในการสอนโดยเน้นที่จรรยามารยาทของการนวด
๒. การนวดแบบเชลยศักดิ์ (หรือแบบทั่วไป) คือ การนวดแบบสามัญชน ที่ได้รับการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น โดยการฝึกฝนและการบอกเล่า มีแบบแผนการนวดตามวัฒนธรรมท้องถิ่น ประกอบกับประสบการณ์ที่สั่งสมของครูผู้นวด แต่เดิมการถ่ายทอดศาสตร์การนวดไทยแบบนี้มักสอน และเรียนกันตามบ้านของครูนวด แต่ปัจจุบันมีโรงเรียนศูนย์การเรียนการสอนตามสถาบันการศึกษา หรือสถาบันที่เกี่ยวข้องกับการแพทย์แผนไทย




การนวดแผนไทย เป็นศาสตร์ทางการแพทย์โบราณที่ทรงคุณค่า ควรค่าแก่การอนุรักษ์ให้เยาวชนคนรุ่นหลัง เพราะมีคุณประโยชน์มากต่อสังคมไทย ไม่ว่าจะเป็นด้านการรักษาและบำบัดโรค แก้อาการปวดเมื่อย หรือด้านการให้บริการควบคู่ไปกับการท่องเที่ยว นักท่องเที่ยวชาวต่างชาติให้ความสนใจเป็นอย่างมากต่อภูมิปัญญาการนวดไทย เมื่อมาเมืองไทยก็มักจะมานวดฝ่าเท้าบ้าง นวดกดจุดบ้าง เป็นการสร้างรายได้ให้กับประเทศไม่น้อยเลยทีเดียว

ขอบคุณที่มา portal.weloveshopping.com



ประวัติศาสตร์การนวดพื้นบ้านไทย

 

ประวัติศาสตร์การนวดพื้นบ้านไทย


การนวดนับเป็นส่วนสำคัญของการแพทย์แผนไทย กล่าวกันว่าภูมิปัญญาการนวดพื้นบ้านไทยนั้นสืบทอดกันมาช้านาน เริ่มขึ้นจากภายในครอบครัว ภรรยานวดให้สามี ลูกหลานนวดให้พ่อ แม่ หรือปู่ ย่า ตา ยาย มีการใช้มือ ศอก เข่า และเท้า นวดให้กันหรือนวดตนเอง ต่อมาจึงมีการคิดอุปกรณ์ในการนวดเพื่อช่วยให้ใช้น้ำหนักได้มากขึ้น เช่น กะลา เบี้ย ไม้กดหลัง นมสาวหรือนมไม้ รวมถึงการใช้ลูกประคบและอบสมุนไพรเพื่ออาศัยความร้อนจากไอน้ำร้อนหรือสมุนไพรช่วยในการบำบัดอาการ

จากการนวดเพื่อช่วยเหลือคนในครอบครัว ได้พัฒนาจนเกิดความชำนาญเป็นที่รู้จักในแวดวงเพื่อนบ้านและคนในชุมชน กระทั่งกลายเป็นอาชีพหมอนวดในที่สุด



เมื่อย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ไทย จะพบว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการนวดที่เก่าแก่ที่สุดคือ ศิลาจารึกสมัยสุโขทัยที่ขุดพบที่วัดป่ามะม่วงตรงกับสมัยพ่อขุนรามคำแหง มีรอยจารึกเป็นรูปการรักษาโดยการนวด มายุคสมัยกรุงศรีอยุธยาในสมัยของพระบรมไตรโลกนาถ (พ.ศ.1991-2031) ปรากฏความในกฎหมายตราสามดวงถึงการแบ่งส่วนราชการให้มีกรมหมอนวดเป็นกรมใหญ่ เจ้ากรมและปลัดกรมมีศักดินามากกว่ากรมอื่นๆ จำแนกตำแหน่งเป็น หลวง ขุน หมื่น พัน และมีศักดินาเช่นเดียวกับข้าราชการสมัยนั้น คือเจ้ากรมหมอนวดมีตำแหน่งหลวงรักษา และแบ่งการบริหารเป็นปลัดกรมหมอนวดฝ่ายขวาคือหมอนวดฝ่ายผู้ชาย มีขุนภักดีองค์เป็นปลัดกรมหมอนวดฝ่ายขวา

สำหรับเจ้ากรมหมอนวดฝ่ายซ้ายคือหมอนวดฝ่ายหญิง มีหลวงราโชเป็นหัวหน้าและขุนองค์รักษาเป็นปลัดเจ้ากรม

ขณะที่ตำแหน่งหมื่นมีตำแหน่งเท่ากันทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ได้แก่ หมื่นแก้ววรเลือก หมื่นวาโยวาด หมื่นวาโยนาศ และหมื่นวาโยไชย ตามลำดับ ส่วนตำแหน่งอื่นๆ รองลงไปได้แก่ พัน และนายพะโรง

กล่าวโดยสรุปแล้ว กรมหมอนวดมีความรับผิดชอบมากและต้องใช้หมอมากกว่ากรมอื่นๆ ทั้งนี้เพราะการนวดทั่วไปเป็นการรักษาขั้นพื้นฐาน หลักฐานจากจดหมายเหตุของ ราชทูต ลาลูแบร์ ประเทศฝรั่งเศส ที่เข้ามาในกรุงสยามเมื่อปี พ.ศ. 2230-2231 ซึ่งตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระนารายณ์ (พ.ศ.2199-2231) ได้บันทึกเรื่องหมอนวดในแผ่นดินสยามมีความว่า "ในกรุงสยามนั้น ถ้าใครป่วยไข้ลงก็จะเริ่มทำเส้นสายยืดโดยให้ผู้ชำนาญทางนี้ขึ้นไปบนร่างกายของคนไข้แล้วใช้เท้าเหยียบ กล่าวกันว่าหญิงมีครรภ์มักใช้ให้เด็กเหยียบเพื่อให้คลอดบุตรง่ายไม่พักเจ็บปวดมาก"

ต่อมาในสมัยรัตนโกสินทร์ การแพทย์แผนไทยยังคงได้สืบทอดรูปแบบต่อจากสมัยอยุธยาแต่เอกสารและวิชาความรู้บางส่วนได้สาบสูญไปเนื่องจากภาวะสงคราม ทั้งคนยังถูกจับไปเป็นเชลยศึกบางส่วนด้วย แต่ยังคงมีหมอกลางบ้านและพระภิกษุที่เป็นหมออยู่ตามหัวเมืองเหลืออยู่บ้าง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงปฏิสังขรณ์วัดโพธารามขึ้นเป็นอารามหลวง (วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม) เมื่อ พ.ศ. 2331 และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าให้รวบรวมและจารึกตำรายา และรูปปั้นท่าฤาษีดัดตน พร้อมอักษรจารึกติดกับฤาษีดัดตนว่าท่านั้นแก้โรคอะไร ไว้ตามศาลารายบริเวณวัด พร้อมทั้งมีการรื้อฟื้นกรมหมอโรงพระโอสถขึ้นมาใหม่อีก

ในปี พ.ศ. 2375 ในรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ประชุมบรรดานักปราชญ์ราชบัณฑิต ผู้เชี่ยวชาญในสาขาวิชาต่างๆ เช่น ตำรายา ตำราหมอนวด ตำราโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน โบราณคดี ประวัติศาสตร์ วรรณคดี ประเพณี ศาสนา และสุภาษิต มาจารึกลงบนแผ่นศิลาประดับไว้ที่วัดพระเชตุพนฯ และยังได้ทรงโปรดให้กรมหมื่นณรงค์หริรักษ์ (พระราชโอรสรัชกาลที่ 1 พระนามเดิมพระองค์เจ้าชายดวงจักร) เป็นผู้ทรงกำกับช่างหล่อรูปฤาษีดัดตนท่าต่างๆ รวม 80 ท่า เมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2379 ปั้นแล้วตั้งไว้ตามศาลาราย และให้จารึกตำรายา ตำราหมอนวดบอกสมุฏฐานของโรคและวิธีบำบัด 60 แผ่นพร้อมคำบรรยายสรรพคุณ เป็นโคลงสี่สุภาพแต่งโดยกวีมีชื่อในสมัยนั้น รวมองค์พระมหากษัตริย์และพระเจ้าน้องยาเธอ ขุนนาง พระภิกษุ ตลอดจนสามัญชน รวม 35 ท่าน ร่วมกันนิพนธ์และแต่งโคลงรวมทั้งสิ้น 80 บท โดยจารึกไว้บนแผ่นหินอ่อนประดับตามผนังโบสถ์และศาลารายในบริเวณวัดเพื่อให้ประชาชนได้ศึกษาและนำไปใช้ในการรักษาตนเพราะสมัยนั้นตำรายังหายาก จนวัดแห่งนี้ได้ชื่อว่าเป็น "มหาวิทยาลัยเปิด" แห่งแรกในประเทศไทย

นอกจากนี้ รัชกาลที่ 3 ยังให้ขุนรจนา เป็นผู้คัดลอกภาพลงสมุดไทย ให้ขุนอาลักษณ์สิสุทธิอักษรเป็นผู้คัดลอกและตรวจทานโคลงที่แต่งเขียนลงกำกับภาพไว้ลงในสมุด

กล่าวได้ว่า ความรู้ทางการแพทย์แผนไทยที่วัดพระเชตุพนฯ ประกอบไปด้วยตำรายาและตำราที่เกี่ยวกับการนวด แบ่งเป็นหมวดหมู่คร่าวๆ ได้ดังนี้

1. วิชาบริหารร่างกาย (ฤาษีดัดตน) การบริหารร่างกายหรือการดัดตนระงับความเมื่อย มีการปั้นฤาษีดัดตนในท่าต่างๆ สร้างมาแต่ครั้งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชแต่เปลี่ยนมาเป็นฤาษีหล่อดีบุกจำนวน 80 ท่า และมีโคลงสี่อธิบายประกอบครบทุกรูป (แม้ปัจจุบันเหลือรูปปั้นฤาษีดัดตนเพียงแค่ 24 รูป ที่เขาฤาษีดัดตนใกล้พระวิหารด้านทิศใต้ของพระอุโบสถ)

2. วิชาเวชศาสตร์ เรียกว่า ตำราอาจารย์เอี่ยม ศึกษาโรคภัยไข้เจ็บตามทฤษฎีการแพทย์แผนไทย มีการแยกสมุฏฐานของโรคต่างๆ ได้แก่ ธาตุทั้ง 4 สมุฏฐานของโรคซึ่งเกี่ยวพันกับที่อยู่อาศัย ฤดู วัน เวลา รวมถึงสาเหตุของอาหาร การดูลักษณะอาการของไข้และการวินิจฉัยโรค การใช้ยาบำบัดโรค ซึ่งแต่ละโรคจะมีตำรายาให้เลือกใช้หลายขนาน เมื่อนับรวมทั้งหมดแล้วมีกว่า 1,128 ขนาน

3. วิชาเภสัช ว่าด้วยสรรพคุณของเครื่องสมุนไพรและเครื่องเทศแต่ละชนิด ว่าส่วนใดมีสรรพคุณในการบำบัดรักษาโรคใด จำนวนกว่า 113 ชนิด

4. วิชาแผนนวด หรือวิชาหัตถศาสตร์ ในจารึกมีแผนภูมภาพโครงสร้างร่างกายมนุษย์ แสดงที่ตั้งของเส้นประสาทการนวด 14 ภาพ และเกี่ยวกับการนวดแก้ขัดยอก แก้เมื่อยและโรคต่างๆ 60 ภาพ

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ยังคงมีกรมหมอนวดเช่นเดียวกับสมัยอยุธยาและทรงโปรดให้หมอยาและหมอนวดถวายการรักษาความเจ็บป่วยยามทรงประชวรเสมอ กระทั่งมีมหาดเล็กและพระสนมที่มีความชำนาญในการนวดติดตามเสด็จประพาสไปในที่ต่างๆ อีกทั้งยังโปรดเกล้าฯ ให้ชำระคัมภีร์แพทย์ คัมภีร์แผนนวดและฤาษีดัดตน ในปี พ.ศ. 2413 ปรากฏหลักฐานในหอพระสมุดวชิรญาณ เป็นตำราแผนนวดฉบับหลวงพระราชทานในรัชกาลที่ 5 พ.ศ. 2449 เพื่อศึกษาและใช้โดยแพทย์หลวงเท่านั้น สิ่งสำคัญที่ได้รวบรวมไว้คือ แผนภาพที่สำคัญของวิชาการนวดไทย ที่เรียกกันสั้นๆ ว่า “เส้นสิบ” ซึ่งจารึกโดยท่านบรมครูชีวกโกมารภัจจ์ เมื่อ 2500 กว่าปีมาแล้ว ขณะที่ในปี พ.ศ. 2445 มีการเขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังฤาษีดัดตนที่ศาลาโถงของวัดมัชฌิมาวาส (วัดกลาง) จังหวัดสงขลา จำนวน 40 ท่า

ครั้นเมื่อถึงสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว กรมแพทย์หลวงถูกยุบด้วยสภาพเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองทำให้รัฐบาลมีงบประมาณจำกัด หมอหลวงที่เคยรับราชการอยู่ต้องออกมาประกอบอาชีพส่วนตัว การนวดจึงหมดบทบาทจากราชสำนักไปในที่สุด อย่างไรก็ตาม พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติการแพทย์ พ.ศ. 2466 ระบุการนวดอยู่ในนิยามของโรคศิลปะ แต่หมอนวดแบบชาวบ้านก็ยังคงได้รับความนิยมอยู่ หมอนวดที่มีชื่อเสียงมากในยุคนั้น ได้แก่ หมออินเทวดาซึ่งเป็นหมอนวดในราชสำนัก  

รัชกาลที่ 7 มีกฎเสนาบดี พ.ศ. 2472 ระบุสาขาการนวดในการประกอบโรคศิลปะแผนโบราณ และในปี พ.ศ. 2475 มีการก่อตั้งสมาคมแพทย์แผนโบราณแห่งประเทศไทยและมีการสอนนวด

ในรัชกาลที่ 8 พระองค์ได้ตราพระราชบัญญัติควบคุมการประกอบโรคศิลปะ พ.ศ. 2479 ไม่ระบุสาขาการนวดในการประกอบโรคศิลปะโบราณ

ส่วนในรัชกาลปัจจุบัน เมื่อปี พ.ศ. 2494 คณะกรรมการวัดพระเชตุพนฯ พร้อมด้วยผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านการแพทย์แผนไทยได้สนองพระราชปรารภพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช จัดทำหลักสูตรโรงเรียนแพทย์แผนโบราณขึ้นในนาม "โรงเรียนแพทย์แผนโบราณแห่งประเทศไทย" ได้เปิดสอนเป็นแห่งแรกที่วัดพระเชตุพนฯ โดยแบ่งออกเป็น 3 หลักสูตร คือ เวชกรรม เภสัชกรรม และหัตถกรรม ต่อมาได้มีการขยายตัวไปทั่วประเทศในนามของสมาคมแพทย์แผนโบราณ ซึ่งเป็นงานการฟื้นฟูการแพทย์ของเอกชน

ในปี พ.ศ. 2530 กระทรวงสาธารณสุขตีความว่าการนวดแผนไทยเพื่อรักษาโรคเป็นการประกอบโรคศิลปะแผนโบราณ สาขาเวชกรรม สอดคล้องกับรัฐบาลมีนโยบายส่งเสริมการส่งออกธุรกิจการนวดแผนโบราณ เนื่องจากเห็นว่าเป็นธุรกิจที่มีศักยภาพ และได้รับความนิยมจากต่างประเทศ ส่งผลให้ธุรกิจการนวดเฟื่องฟู แต่แล้วก็มีบางสถานที่ที่อาศัยการนวดแอบแฝงกับการขายบริการทางเพศ

ต่อมาในปี พ.ศ. 2541 กระทรวงสาธารณสุขได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านนวดแผนโบราณเพื่อเตรียมการให้การนวดไทยเป็นการประกอบโรคศิลปะการแพทย์แผนไทยประเภทหนึ่งตามพระราชบัญญัติการประกอบโรคศิลปะฉบับใหม่ ในช่วงเวลานั้นมีทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศให้ความสนใจเรียนนวดไทยมากจนมีการเปิดสำนักสอนการนวดไทย ผลิตหนังสือและสื่อการสอนนวดออกมาแพร่หลาย

กล่าวได้ว่า ในสังคมไทยสมัยก่อนการถ่ายทอดวิชาการนวดไทยยังไม่มีการสอนอย่างเป็นระเบียบแบบแผน เป็นแต่เพียงการถ่ายทอดตามสายบรรพบุรุษหรือตระกูลเดียวกัน ผู้เป็นอาจารย์จะพิจารณาว่าลูกศิษย์เหมาะสมที่จะได้รับการถ่ายทอดความรู้ให้หรือไม่ หรืออาจเป็นผู้ที่คุ้นเคยและอยากเรียนวิชามาฝากตัวเป็นศิษย์โดยมีพิธีไหว้ครูและครอบวิชาหมอนวดให้

การเรียนการสอนมีลักษณะแบบตัวต่อตัว เริ่มเรียนจากการฝึกกำลังนิ้วตั้งแต่ขยำก้อนขี้ผึ้ง ดินน้ำมัน หรือดินเหนียว จนมีกำลังนิ้วและมือแข็งแรงมากขึ้น จากนั้นจะสอนเรื่องจุดนวด เส้นประตูลม ฯลฯ แล้วเริ่มฝึกปฏิบัติ หัดนวดครูและติดตามครูเพื่อรับรู้ประสบการณ์วิธีการนวดและวิธีจับเส้นจากครูให้ได้มากที่สุด

ขณะที่การเรียนการสอนการนวดในปัจจุบันนั้น มีการเรียนการสอนหรือสืบทอดทั้งในวัด สถาบันการศึกษา และภายในครอบครัว โดยสถานศึกษาการนวดแผนไทยแห่งแรกคือวัดพระเชตุพนฯ (วัดโพธิ์) และมีขึ้นอีกหลายแห่ง เช่น วัดสามพระยา วัดปรินายกจำกัด รวมถึง อายุรเวทวิทยาลัย (ชีวกโกมารภัจจ์) ที่ซอยอารีย์ กรุงเทพฯ ซึ่งก่อตั้งโดยศาสตราจารย์นายแพทย์อวย เกตุสิงห์ อาจารย์ของคณะแพทยศาสตร์ ศิริราชพยาบาล อันเป็นความพยายามที่จะฟื้นฟูและพัฒนาแพทย์แผนไทยภูมิปัญญาที่ล้ำค่าเอาไว้

เมื่อกล่าวถึงนายแพทย์อวย เกตุสิงห์ ผู้ก่อตั้งมูลนิธิฟื้นฟูส่งเสริมการแพทย์แผนไทยเดิม และเปิดโรงเรียนเพื่อสอนการแพทย์แผนไทยขึ้นเพื่อสอนการนวดแบบราชสำนักในช่วงปี พ.ศ. 2523-2525 ในขณะนั้นเรียกว่าโรงเรียนอายุรเวทวิทยาลัย (ชีวกโกมารภัจจ์) โดยหมอนวดที่มีชื่อเสียงมากในยุคนั้น ได้แก่ หมออินเทวดาหมอนวดในราชสำนัก หมออินเทวดาได้ถ่ายทอดวิชาการนวดทั้งหมดให้แก่บุตรชาย คือ หมอชิต เดชพันธ์ ซึ่งต่อมาท่านได้ถ่ายทอดให้กับศิษย์หลายท่านและในจำนวนนั้นมี อาจารย์ณรงค์สักข์ บุญรัตนหิรัญ เป็นศิษย์เอกรวมอยู่ด้วย

ต่อมาอาจารย์ณรงค์สักข์เป็นอาจารย์อยู่ที่อายุรเวทวิทยาลัย (ชีวกโกมารภัจจ์) โดยการเชิญของอาจารย์อวย เกตุสิงห์ ท่านจึงได้ถ่ายทอดวิชาการนวดแบบราชสำนักนี้ให้แก่ผู้เรียนของอายุรเวทวิทยาลัยทุกคน รวมทั้งเปิดคลินิกเพื่อให้การดูแลรักษาผู้ป่วยแบบแพทย์แผนไทย และยังนำเอาความรู้ทางวิทยาศาสตร์เข้ามาช่วยในการวินิจฉัยและบำบัดรักษาให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ก่อนที่จะพัฒนาหลักสูตรเป็นการสอนในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง และในปี พ.ศ. 2546 หน่วยงานทั้งหมดได้โอนย้ายมาสังกัดคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล เรียกชื่อว่า “สถานการแพทย์แผนไทยประยุกต์”

กล่าวโดยสรุป องค์ความรู้ด้านการนวดไทยปัจจุบันมีแหล่งที่มาจากคัมภีร์ ตำราการนวดไทย ดังนี้

1. แผนนวดวัดพระเชตุพนฯ สมัยรัชกาลที่ 3

2. แผนนวดฉบับหลวงพระราชทาน สมัยรัชกาลที่ 5

3. ตำราโรคนิทาน คำฉันท์ 11 ของ พระยาวชิยาธิบดี เจ้าเมืองจันทบูร สมัยรัชกาลที่ 1

4. แผนนวดพื้นบ้านซึ่งส่วนใหญ่คัดลอกสืบต่อกันมาคล้ายกับแผนนวดฉบับหลวงหรือแผนนวดวัดพระเชตุพนฯ

เก็บความจาก

อัจฉรา บุญแทน.  การนวดพื้นบ้านไทย และความเจ็บป่วยตามแนวคิดการแพทย์แผนไทย. วิทยานิพนธ์ปริญญาโท หลักสูตรสื่อศิลปะและการออกแบบสื่อ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2551.


การนวดแผนไทย

การ นวดแผนไทย การนวดแผนไทย ถือเป็นอีกหนึ่งการแพทย์แผนโบราณของไทยที่มีประวัติความเป็นมายาวนาน บ้างก็ว่าบันทึกของศาสตร์การนวดแผนไทยมีมาตั้งแต่...